รายละเอียดโครงการ

ความเป็นมาและเหตุผลความจำเป็น

ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 4 นิยามของทรัพยากรน้ำ กล่าวคือ “น้ำ ทรัพยากรน้ำสาธารณะ แหล่งต้นน้ำลำธาร แหล่งกักเก็บน้ำ คลองส่งน้ำ พื้นที่ทางน้ำหลาก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือ มนุษย์สร้างขึ้น และสิ่งอื่นที่ใช้เพื่อการบริหารจัดการน้ำ และให้หมายความรวมถึงน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศ และแหล่งน้ำต่างประเทศที่ประเทศไทยอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้”

นิยามของทรัพยากรน้ำสาธารณะ กล่าวคือ “น้ำในแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้หรือที่สงวนไว้ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือโดยสภาพประชาชนอาจใช้ประโยชน์ร่วมกัน และให้หมายความรวมถึงแม่น้ำ ลำคลอง ทางน้ำ บึง แหล่งน้ำใต้ดิน ทะเลสาบ น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งน้ำตามธรรมชาติอื่น ๆ แหล่งน้ำที่รัฐจัดสร้างหรือพัฒนาขึ้น เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แหล่งน้ำระหว่างประเทศที่อยู่ภายในเขตประเทศไทย ซึ่งประชาชนนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทางน้ำชลประทานตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน และน้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล”
จากนิยามข้างต้นจึงสรุปได้ว่า “แม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติ” เป็นได้ทั้งทรัพยากรน้ำ และทรัพยากรน้ำสาธารณะ นอกจากนี้ยังหมายความรวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำ ตามคำนิยามที่กำหนดในมาตรา 4 ดังที่กล่าว

นิยามของผังน้ำ ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กล่าวคือ “แผนที่หรือแผนผังแสดงระบบทางน้ำที่มีน้ำไหลผ่าน ซึ่งเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงทางออกสู่พื้นที่แหล่งน้ำ ทะเล หรือทางออกทางน้ำระหว่างประเทศ ซึ่งระบบทางน้ำดังกล่าว ครอบคลุมทั้งแม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง กุด ป่าบุ่ง ป่าทาม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่แหล่งกักเก็บน้ำ พื้นที่ทางน้ำหลาก พื้นที่น้ำนอง พื้นที่ลุ่มต่ำ ทางน้ำหรือพื้นที่อื่นใด ที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น โดยทางน้ำดังกล่าวอาจมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี หรือบางช่วงเวลาใดก็ได้”

เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ระบุว่า “เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้มีการกำหนดลุ่มน้ำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงสภาพอุทกวิทยา สภาพภูมิศาสตร์ ระบบนิเวศ การตั้งถิ่นฐาน การผังเมือง ผังน้ำ และเขตการปกครองประกอบด้วย” ด้วยเหตุนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จึงได้มีการทบทวนและแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำใหม่จาก 25 ลุ่มน้ำหลัก คงเหลือ 22 ลุ่มน้ำหลักของประเทศไทย แต่เพิ่มลุ่มน้ำสาขาจาก 254 ลุ่มน้ำสาขา เป็น 353 ลุ่มน้ำสาขา ตามความในพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ. 2564 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 อันเป็นการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำให้กับประเทศต่อไป โดยแต่ละลุ่มน้ำมีสภาพปัญหาเฉพาะในด้านกายภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และ
การบริหารจัดการ ซึ่งแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ โดยมีสาเหตุหลากหลายประการ เช่น การกัดเซาะตลิ่ง และการตื้นเขินของแหล่งน้ำ การบุกรุกพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน คุณภาพน้ำ การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้น้ำในภาคส่วนต่าง ๆ รวมไปถึงการขาดการมีส่วนร่วม และการขาดกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและต่อเนื่อง เป็นต้น

อันเป็นเหตุให้ กรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำแทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและทรัพยากรน้ำสาธารณะ และเพื่อให้การดำเนินการภายใต้กรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ด้านที่ 5 การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 18 การเติบโตอย่างยั่งยืน และประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ในหมุดหมายที่ 2 หมุดหมายที่ 10 และหมุดหมายที่ 11 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในเป้าหมายที่ 6 และเป้าหมายที่ 15 แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในด้านที่ 4 แผนปฏิบัติราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2565 – 2569) และพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 78 (5) รวมไปถึงแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580) ในด้านที่ 4 การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ เป้าประสงค์การฟื้นฟูแม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้จัดทำตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ของประเทศ และเพื่อให้เกิดการสนับสนุนและขับเคลื่อนการดำเนินงานในเชิงของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสาธารณะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และตัวชี้วัดของกรมทรัพยากรน้ำ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการจัดทำเกณฑ์ตัวชี้วัด เพื่อรองรับดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index)

วัตถุประสงค์ของโครงการ

  1. เพื่อจัดทำเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index) ของประเทศไทย และแนวทางและมาตรการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำของลุ่มน้ำที่สอดคล้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index)
  2. เพื่อประเมินดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index) ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานำร่อง

พื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย

พื้นที่ลุ่มน้ำหลัก 22 ลุ่มน้ำ โดยให้ครอบคลุมลุ่มน้ำสาขา ทั้ง 353 ลุ่มน้ำสาขาทั่วประเทศไทย

กลุ่มเป้าหมาย

  1. หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ หน่วยงานที่รับผิดชอบตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หมวด 6 การอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะ รวมถึง
  2. หน่วยงานหลัก
  3. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  4. องค์กรเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชน
  5. ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ

ขอบเขตการดำเนินงาน

  1. ศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำรวมถึงวิเคราะห์ความเชื่อมโยงและความสอดคล้องของดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index) กับเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานระดับต่าง ๆ
  2. ศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index)
  3. จัดทำ (ร่าง) เกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index) ของประเทศไทย และจัดทำแนวทางและมาตรการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำของลุ่มน้ำที่สอดคล้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดดัชนีสุขภาพแม่น้ำ
  4. คัดเลือกพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานำร่อง 6 ลุ่มน้ำสาขา และประเมินดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index) ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานำร่อง 6 ลุ่มน้ำสาขา โดยการสำรวจและศึกษาข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม
  5. จัดการประชุม สัมมนา และอบรมเชิงปฏิบัติการ
  6. จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลโครงการ
  7. จัดทำระบบฐานข้อมูลดัชนีสุขภาพแม่น้ำ (River Health Index Database)